เด็กหญิง 14 ถูกอดีตทหารเกณฑ์ล่อลวงล่วงละเมิด หลังไปดูหนังด้วยกัน

เด็กหญิง 14 ถูกอดีตทหารเกณฑ์ล่อลวงล่วงละเมิด หลังไปดูหนังด้วยกัน

วันนี้ (25 ธ.ค.) ตำรวจกองบังคับการปราบปรามได้กำลังร่วมกันจับกุม นายทินกร เบ็ญพาด อายุ 28 ปี ในพื้นที่ ต.ปากน้ำปราณ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ หลังนายทินกรได้ข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงวัย 14 ปีรายหนึ่งเมื่อปี 2557

เมื่อปี 2557 นายทินกรยังเป็นทหารเกณฑ์อยู่ที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งใน อ.ปราณบุรี 

และได้ติดต่อพูดคุยผ่านทางเฟซบุ๊กกับเด็กหญิงวัย 14 ปีรายหนึ่ง จนเกิดความสนิทสนม และผู้เสียหายยอมออกไปเที่ยวด้วยกันสองต่อสอง ในวันเกิดเหตุนั้น นายทินกร ได้นัดผู้เสียหายไปเที่ยวที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดังในอ.หัวหิน หลังจากพาไปเลี้ยงอาหารดูหนังจนมืดค่ำ ก็ได้พาผู้เสียหายนั่งซ้อนท้ายจักรยานยนต์กลับบ้านพัก แต่ระหว่างทางกลับเลี้ยวรถเข้าโรงแรมม่านรูด และบังคับขืนใจผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่ ก่อนจะพาไปส่งบ้านก็ข่มขู่ว่าห้ามนำเรื่องไปบอกใคร ถ้าไม่เชื่อก็จะทำร้ายให้ถึงตาย

ต่อมาผู้ปกครองของเด็กหญิงสังเกตเห็นว่าลูกสาวมีอาการเซื่องซึมไม่กินข้าว ไม่พูดคุยเหมือนปกติ จึงสอบถามจนทราบความจริง ก่อนจะรีบพาเข้าแจ้งความที่สภ.ปากน้ำปราณ เพื่อดำเนินคดีกับนายทินกรตามกฎหมาย

ด้านนายทินกร เมื่อทราบว่าพ่อแม่ของเด็กพาเด็กเข้าแจ้งความ ก็พยายามเจรจากับฝ่ายผู้เสียหาย โดยยินยอมจะชดใช้ค่าเสียหาย เพื่อยื้อเวลา จนกระทั่งตนเองปลดประจำการก็รีบหลบหนีไป กระทั่งเจ้าหน้าที่ทราบว่านายทินกร กลับมาอยู่ที่บ้านญาติในต.ปากน้ำปราณ จึงเข้าจับกุมได้

นายทินกร ให้การรับสารภาพว่า วันเกิดเหตุหลังจากเที่ยวเสร็จขณะพาผู้เสียหายไปส่งบ้านพัก ตนเกิดอารมณ์ทางเพศขึ้นมากะทันหัน จึงเลี้ยวรถเข้าโรงแรมม่านรูดเพื่อก่อเหตุ หลังจากที่ตนหลบหนีคดีมานานกว่า 5 ปี จึงคิดว่าเรื่องเงียบไปแล้ว และกลับมาหาญาติ ก่อนจะถูกจับกุมดังกล่าว

ทั้งนี้ ระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ ตำรวจภูธรภาค 1 หลายสิบนาย คุมตัวนายสันติ และนายนิวัฒน์ ขึ้นรถตู้ของ สภ.แก่งคอย เพื่อเดินทางไปสอบปากคำต่อนั้น ผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงแรงจูงใจการก่อเหตุ หรือต้องการยืนยันความบริสุทธิ์หรือไม่ นายสันติ ปฏิเสธไม่ตอบคำถามใดๆ โดยพยายามยกมือปิดบังใบหน้า

รายงานข่าวแจ้งว่า จากการสืบประวัติของนายสันติ พบว่ามีพี่ชายทำงานเกี่ยวเรื่องกฎหมาย จึงมีความรู้ด้านกฎหมายเป็นอย่างดี ส่วนทีมทนายความส่วนตัวของนายสันติ กล่าวว่า ผู้ต้องหาทั้งคู่ให้การปฏิเสธตามสิทธิ์ผู้ต้องหา และยืนยันความบริสุทธิ์ ทั้งยังไม่มีความกังวล แต่ตนไม่ทราบรายละเอียดของคดี เพราะอยู่ในสำนวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขณะที่การยื่นหลักทรัพย์ประกันตัวนั้นคาดว่าทางครอบครัวผู้ต้องหา จะรวบรวมหลักทรัพย์เพื่อขอยื่นประกันกับศาล

เผยหลักฐานมัด ‘เสี่ยไฮ้’ ค้นบริษัทเจอปลอกหมอนลายเดียวกับผ้าห่มห่อศพเซลล์สาว

จากกรณที่มีการพบรถยนต์นิสสัน พัลซ่าร์ สีขาวจมอยู่ในคลอง พร้อมศพเจ้าของรถคือ น.ส.กลิ่นเกสร วงษ์สิงห์ อายุ 36 ปี เซลส์สาวขายปุ๋ย ซึ่งน่าจะจมนานกว่า 3 ปี จนเหลือแต่โครงกระดูก และตำรวจเชื่อว่าถูกถ่วงน้ำเพื่ออำพรางคดี ใน จ.สระบุรี และตำรวจได้ออกหมายจับนายสันติ จึงทองดี หรือเสี่ยไฮ้ และนายแจ็ค คนสนิทของเสี่ย ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แล้ว

ล่าสุด วันนี้ (24 ธ.ค.) เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าควบคุมตัวนายสันติ หรือเสี่ยไฮ้ และนายแจ็ค ภายในโรงงาน ก่อนเชิญตัวมาสอบสวนเพิ่มเติมที่บก.ภ.จว.สระบุรี

รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นบริษัทของเสี่ยไฮ้ ในอ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี ก่อนพบหลักฐานสำคัญ เป็นปลอกหมอนข้าง ซึ่งปลอกหมอนข้างที่พบมีลายตรงกับผ้าปูที่นอน ที่ใช้ห่อโครงกระดูกที่พบในรถเก๋งของน.ส.กลิ่นเกษร โดยปลอกหมอนข้างที่พบถือเป็นหลักฐานสำคัญ จนนำมาสู่ศาลจังหวัดสระบุรี อนุมัติหมายจับผู้ต้องหา ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

เมื่อมีคนสนใจสั่งซื้อและโอนเงินมาให้กลับไม่มีสินค้าส่งให้ และมีผู้เสียหายบางรายรู้ที่อยู่และไปทวงเงินคืน แต่ น.ส.ณัฐนันท์ ก็ไม่ยอมคืนเงินให้ แถมท้าทายให้ไปแจ้งความ อ้างว่ามีเส้นสายกับตำรวจ หรือหากผู้เสียหายถ่ายคลิปวิดีโอก็จะขู่ฟ้องกลับหากนำไปโพสต์ให้เสียหายอีกด้วย

ทั้งนี้ มีผู้เสียหายที่เข้าแจ้งความร้องทุกข์แล้ว 22 คน และอาจจะมีทั้งหมดมากกว่า 50 คน โดยความเสียหายมีมากกว่า 7 แสนบาท ซึ่ง น.ส.ณัฐนนท์ นั้นมีประวัติจบการศึกษาระดับปริญญาตรี ด้านการตลาดจากมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่งใน จ.สงขลาด้วย เบื้องต้นตำรวจได้ส่งตัวไปดำเนินคดีที่ สภ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นคดีแรกที่ก่อเหตุแล้ว

ปัจจุบัน ในอาเซียนมีเรือดำน้ำทั้งหมด 18 ลำ ประกอบด้วย เวียดนาม 6 ลำ, อินโดนีเซีย 5 ลำ (กำลังซื้อเพิ่มเติม 4 ลำ), สิงคโปร์ 4 ลำ (กำลังซื้อเพิ่มเติม 4 ลำ), มาเลเซีย 2 ลำ และเมียนมา 1 ลำ (กำลังซื้อเพิ่มเติม 4 ลำ) ทั้งนี้ ในประวัติศาสตร์ของไทยช่วง 2481-2484 ซึ่งขณะนั้นประเทศไทยมีเรือดำน้ำ 4 ลำ โดยปัจจุบันเรือดำน้ำเหล่านั้นปลดประจำการไปตั้งแต่ปี 2494 นับเป็นเวลากว่า 69 ปีแล้วที่กองทัพเรือไทยไม่มีเรือดำน้ำประจำการ

แนะนำ : รีวิวหนังไทย | คู่มือพ่อแม่มือใหม่ | แม่และเด็ก | เรื่องผี | แคคตัส กระบองเพชร